“ใส่เสื้อชูชีพแล้วมันจะไม่จมใช่ไหม”

จะมีบ้างไหม สถานที่ที่เหมาะสำหรับทิ้งตัว พักชาร์จพลังชีวิต อย่างบ้านสวนริมน้ำท่ามกลางธรรมชาติ มีลมพัดโกรกทั้งวัน มีความสงบเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของเมืองกรุง ที่สำคัญต้องตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก

        “ติดดินติดน้ำ” คือบ้านพักตากอากาศอันเป็นผลจากการกลับบ้านของ “ชีวา” และ “ชาริณี แย้มบุญยิ่ง” พื้นเพเป็นคนจังหวัดสระบุรี แต่จำต้องเข้าไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เมื่อเรียนจบก็ได้ลงหลักปักฐานทำงานในเมืองหลวงเช่นเดียวกับเพื่อนๆ จนกระทั่งพ่อแม่เกษียณอายุ และแม่อยากกลับไปอยู่บ้านเกิดที่จังหวัดจันทบุรี จึงได้ย้ายกลับมาอยู่กับครอบครัว

     การเปิดบ้านให้แขกเข้าพัก เริ่มจากเพื่อนๆ มาพักที่บ้าน แล้วเกิดชอบบรรยากาศชิลล์ๆ ริมน้ำ ชอบธรรมชาติความเงียบสงบรอบบ้าน ใช้เวลา 2-3 ปี สร้างบ้านพักต่างหากสำหรับรับแขกโดยเฉพาะ นั่นคือ “บ้านชาน” บ้านไม้ยกพื้นสูงที่มีห้องนอนขนาดใหญ่ สำหรับ 2-5 คน พร้อมด้วยห้องน้ำ มีครัวน่ารักๆ อยู่ถัดเข้าไป ไฮไลท์ของบ้านหลังนี้คือ ชานบ้านขนาดใหญ่ที่ยื่นรับลมและวิวสุดสายตาของแม่น้ำจันทบุรี

     การเดินทางสู่ “ติดน้ำติดดิน” จากจันทบุรี ใช้ถนนท่าหลวงผ่านชุมชนริมน้ำจันทบูร ตัดออกถนนสุขุมวิท (จันทบุรี-สระแก้ว) เข้าซอยเล็กๆ ข้างวัดหนองอ้อ จากจุดนี้ถนนเริ่มเล็กลง สองฝั่งถนนเป็นสวนมังคุดตลอดแนว มีป้ายบอกทางอยู่เป็นระยะ ใช้เวลาเดินทางราว 15 นาที ทางเข้าเป็นเหมือนซุ้มต้นมังคุดให้เราขับรถลอดผ่าน กระทั่งรถค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปจอดหน้าลานบ้านหลังใหญ่ ทันทีที่ลงจากรถก็มีเจ้าสี่ขาคาบใบไม้มาให้เรา แสดงถึงการต้อนรับที่แสนน่ารักของ “ชับชับ” หมาพันธุ์ทางสีน้ำตาล เจ้าของบ้านแอบกระซิบว่า ทางที่ดีอย่าโดนตัวชับชับนะ เพราะน้องอายุเยอะแล้ว ตาเริ่มฝ้าฟาง หากโดนตัว อาจตกใจแล้วแว้งกัดได้

     พูดคุยกันไม่นาน เจ้าของบ้านก็นำน้ำมะปี๊ดเย็นๆ มาให้แทนคำกล่าวต้อนรับอันแสนชื่นใจ ภายในสวนมังคุดแห่งนี้มีบ้านอยู่สองหลัง หลังใหญ่เป็นบ้านส่วนตัวของครอบครัว ส่วนหลังเล็กเปิดไว้ให้แขกเข้าพัก แต่ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น ก่อนจองจะมีการพูดคุยเบื้องต้นผ่านทางเฟซบุ๊ก สอบถามและแนะนำเกี่ยวกับที่นี่เพื่อให้ตรงตามความต้องการของผู้เข้าพักจริงๆ บ้านชานปลูกอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังใหญ่ ชิดริมน้ำจันทบุรี รายล้อมด้วยสวนมังคุดและต้นไม้ใหญ่น้อย เราจัดแจงเก็บกระเป๋าเข้าห้องพัก ในเมื่อบ้านพักติดริมน้ำ กิจกรรมที่พลาดไม่ได้คือการลงเล่นน้ำ บริเวณท่าน้ำมีเสื้อชูชีพและแพเป่าลมเตรียมไว้ให้ หรือใครไม่อยากลงน้ำก็มีเรือสำหรับพายเล่นกันด้วย

     “ตู๊ม ตู้มมม” วิ่งโดดลงน้ำกันไปเรียบร้อย แม่น้ำจันทบุรีช่วงนี้ไม่กว้างนัก น้ำไหลเอื่อยๆ ดูลึกไม่ใช่เล่น แต่ไม่เกินความสามารถของเสื้อชูชีพที่คอยพยุงให้ลอยเหนือน้ำ เราเล่นน้ำว่ายไปมากันตั้งแต่บ่ายจนถึงค่ำ แสงสุดท้ายค่อยๆ กล่าวคำอำลา ได้ลอยตัวในน้ำชมแสงสุดท้ายของวัน ช่างเป็นมุมมองที่แตกต่างเหลือเกิน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ขับรถออกไปหามื้อเย็น กว่าจะกลับถึงที่พักทั่วทั้งบริเวณก็เงียบมากแล้ว ได้ยินเพียงแต่เสียงเจ้าแมลงที่ประชันขันแข่งกัน สลับกับเสียงลมและสายน้ำ เรานอนฟังเสียงธรรมชาติเหล่านี้อยู่พักใหญ่จนผล็อยหลับไป

      รับเช้าวันใหม่ด้วยแสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องเข้ามาภายในบ้าน อากาศเย็นยามค่ำคืนยังคงหลงเหลืออยู่พอให้รู้สึกหนาวเล็กน้อย ชานบ้านจึงเป็นจุดที่เลือกออกมานั่งเล่น บ้างก็ซุกตัวอ่านหนังสืออยู่ในผ้าห่มหนา บ้างเลือกเดินออกไปถ่ายรูปเล่นในสวน บ้างนั่งรับลมชมวิวแม่น้ำจันทบุรี ไม่นานนักมีอาหารเช้ามาเสิร์ฟ เริ่มต้นด้วยไข่กระทะทรงเครื่อง ขนมปังปิ้ง น้ำส้มคั้น กล้วยหอม ชากาแฟ มีครบสำหรับ 4 คน เล่นซะอิ่มท้อง อยากทิ้งตัวลงนอนต่ออีกสักครึ่งวัน แต่กลับกันสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกคนเปลี่ยนชุด ลงไปเล่นน้ำกันอีกรอบแบบตั้งใจเล่นมาก เหมือนไม่เคยได้เล่นน้ำที่ไหนมาก่อน บ้างก็ว่ายน้ำข้ามฝั่งไปมา บ้างก็นอนหงายลอยคอมองท้องฟ้าอยู่เฉยๆ บ้างก็เลือกกระโดดน้ำแบบสนุกจนลืมเหนื่อย

     เล่นน้ำกันจนอิ่มอกอิ่มใจแล้ว กลับขึ้นมาอาบน้ำเก็บข้าวของ ถึงเวลาต้องบอกลาสถานที่แห่งนี้เสียแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่ห้ามพลาดคือการเดินชมสวน เจ้าชับชับคอยเดินนำและระวังภัยให้เราอยู่ห่างๆ เริ่มจากแปลงผักสวนครัวพื้นบ้าน ตลอดจนสวนมังคุดที่ปลูกเป็นแถว แปลงร่างเป็นชาวสวน ช่วยกันเก็บมังคุดจากต้นได้เอง ฤดูกาลเก็บเกี่ยวมังคุดคือระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคมของทุกปี หันไปสะดุดตากับต้นตะลิงปลิงใหญ่ที่ออกผลดกจนแทบมองไม่เห็นลำต้น ลูกตะลิงปลิงขนาดเท่านิ้วโป้งเป้งๆ ที่เจ้าของบ้านอนุญาตให้เก็บได้ หากได้พริกเกลือไว้จิ้มกันคงแซ่บจนสุดจะบรรยาย

     ทริปใกล้กรุงครั้งนี้ เรามากัน 4 คน เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า เป็นครั้งแรกที่ได้ลงเล่นในแม่น้ำธรรมชาติแบบนี้ เพื่อนอีกคนบอกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ได้หัดลอยตัวตีขา และรู้ว่าการว่ายน้ำเป็นอย่างไร กลายเป็นทริปสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ หากใครกำลังมองหาสถานที่รายล้อมด้วยธรรมชาติและอากาศดีๆ มีกิจกรรมให้ชาร์จพลังมากกว่ากิจกรรมปล่อยพลัง “ติดดินติดน้ำ” เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย

ถึงเวลาต้องเดินทางกลับจริงๆ เจ้าชับชับก็เดินคาบใบไม้มาวางไว้ให้อีกครั้ง เป็นการกล่าวลาจากเจ้าสี่ขาผู้น่ารัก.