Club Friday 101

     “สวัสดีค่ะ” เสียงคุ้นเคยที่ได้ยินแล้วสบายใจของ ‘ดีเจอ้อย’ นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล กับรายการฮิตสำหรับทุกคนที่มีปัญหาความรักและต้องการคำแนะนำ Club Friday มาวันนี้เจ้าของเสียงยินดีมา   เปิดตัวแขกรับเชิญคนแรกของ Club Friday ที่ไม่ได้ออกอากาศที่ไหน ไม่ใช่ใครอื่น หนุ่มหล่อเสียงดีมาดนิ่ง ‘เฮียไนซ์’ นวพล จุลอมรโชค ซึ่งทุกวันนี้ยังคงเป็นคนพิเศษที่อยู่เคียงข้างเสมอมา รวมทั้งเป็นพลังใจสำคัญให้กัน

 

 

สายแรกของ Club Friday

ย้อนกลับไปสมัยรู้จักกันไม่นาน เมื่อก่อนดีเจกับศิลปินทำงานใกล้ชิดกัน พอมีอัลบั้มใหม่ก็ส่งข้อมูลให้ มีงานแถลงข่าว ใครออกอัลบั้มใหม่ก็มีสัมภาษณ์ หรือไปงานเปิดอัลบั้ม พี่อ้อยที่เป็นดีเจจัดรายการวิทยุ กับเฮียไนซ์ที่เป็นนักร้องมีอัลบั้มจึงได้มาพบเจอกันบ่อยครั้งตามประสาคนในแวดวงเดียวกัน มีรวมกลุ่มโยนโบว์ลิ่ง กินข้าว ทำกิจกรรมฉันเพื่อน

      “ตอนนั้นเราสองคนเป็นเพื่อนกันมากกว่า ตัวพี่ก็รู้สึกว่าไม่ควรมีแฟนที่เป็นศิลปิน ไม่รู้ว่าทำไม”

แล้วเพราะเหตุใดจังหวะหัวใจจึงจูนกันได้ เราถามด้วยความสงสัย เฮียไนซ์ตอบว่าเพราะอกหักจึงอยากหาเพื่อนนั่งกินข้าวคลายเศร้าในวันเกิดตัวเอง เลยโทร.หาพี่อ้อย นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของสายแรกใน Club Friday ฉบับปฐมฤกษ์

     “พี่คิดว่าวันเกิดต้องไปกินกับแฟนหรือคนสำคัญสิ เลยเดาว่าอกหักมาแน่นอน แต่ผ่านวันเกิดก็ยังไม่ได้ไป (หัวเราะ) เฮียโทร.มาทวงว่าไหนบอกจะไปกินข้าวด้วยกัน ตกลงไปหลังวันเกิดแทน ก็ถามเข้าประเด็นว่าอกหักมาเหรอ”

หลังจากถามไป เหมือนได้ปลดล็อคสิ่งที่อัดอั้นไว้ เฮียไนซ์เลยพรั่งพรูความในใจออกมา สมเป็นดีเจ.อ้อยแห่ง Club Friday จริงๆ

     “ผมโทร.หาเขาบ่อยขึ้น หัวใจอ่อนแอ ท้อแท้ (หัวเราะ) อ้อยเป็นคนเข้าใจคนอื่นสูง คุยด้วยแล้วสบายใจ คุยไปเรื่อยๆ ก็ชวนไปขับรถเที่ยวพัทยา”

     “คนอกหักต้องไปทะเล ไม่หนีร้อนก็หนีรัก (ยิ้ม) พัทยาในตอนนั้น นิยมกินไอติมริมทะเล ก็ไปเช้าเย็นกลับ ไปด้วยความเป็นเพื่อน ไม่มีความโรแมนติกใดๆ”

แต่อีกฝ่ายไม่ได้คิดแบบนั้น เฮียไนซ์เริ่มสะดุดใจตัวเองก่อน ตอนนั้นเขากำลังทำธุรกิจต้นไม้ที่แม่สอด อาศัยเวลาในช่วงกลางคืน ทั้งที่เป็นคนพิมพ์ไม่เก่ง คอยจิ้มดีดทีละคำเพื่อส่งข้อความตลอด เริ่มโทร.คุยกันแทบทุกคืน ความรู้สึกดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเฮียไนซ์ถามพี่อ้อยตรงๆ ว่า เราคบกันไหม

     “ถามตรงมาก เขาเป็นคนที่ชัดเจน บอกแต่แรกด้วยว่าถ้าคบกันจะมีเงื่อนไขอะไรบ้าง เป็นรักทางไกลนะ ยุคนั้นสื่อสารกันยากด้วย พี่คิดว่าเขากำลังอ่อนแอมา เลยตอบว่าไม่ได้หรอก ตอนนี้เธอแค่อ่อนไหว พอปฏิเสธไป เฮียถามว่า ทำไมไม่ลองดูล่ะ ถ้าไม่ใช่ก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม แต่พี่มองเขาเป็นเพื่อนเท่านั้น”

ครั้งแรกไม่สำเร็จ เฮียไนซ์ก็ไม่เลิกความตั้งใจ ลงมากรุงเทพฯ อีกครั้ง ก็นัดเจอกันสองต่อสอง การคุยครั้งนี้เป็นการขอโอกาสจริงจัง เราเลยสงสัย เมื่อคุณรวบรวมความกล้า สารภาพกับเพื่อนแล้วถูกบอกปัด ยังพยายามขอโอกาสอีก ทำไมถึงต้องเป็นผู้หญิงคนนี้เท่านั้น

      “ชีวิตผมผ่านความรักมาเยอะ เป็นศิลปินเจอคนมาหลายแบบ ผมชอบอยู่กับคนที่เหมือนกัน แล้วอ้อยก็เป็นคนแบบเดียวกัน อยู่ด้วยสบายใจ”

      “ยังมีถามอีกนะว่า ถ้าคนถามว่าเป็นแฟนอ้อยหรือเปล่า สามารถตอบได้เลยว่าเป็นแฟนแล้วใช่ไหม คือจริงจังมาก พอผ่านไปสามเดือน ก็ถามว่า ถ้าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน ยังกลับมาเป็นเพื่อนได้ไหม พี่ตอบได้สิ มันคือการทดลองดู แต่ตอนนั้นต้องยอมรับว่าคุณแม่ของเฮียมีอิทธิพลในเรื่องความรัก ที่อกหักมาเพราะคุณแม่ไม่ยอมรับ แล้วตัวพี่ก็กำลังโดนในลักษณะเดียวกัน”

 

ผจญโจทย์ใหญ่ที่ยาวนานที่สุด

เมื่อความรักมีโจทย์มาให้แก้ไข แล้วเป็นโจทย์ที่หนักอกหนักใจจนหลายคนถามว่าไหวหรือไม่ ทั้งรักระยะไกลและการถูกกดดันจากครอบครัวฝ่ายชาย ซ้ำร้ายระหว่างนั้น คุณแม่ของเฮียไนซ์เกิดเส้นเลือดตีบด้วย

     “พี่คิดเสมอว่าต่อให้เลิกกัน ยังไงเสียเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ เมื่อแม่เพื่อนเข้าโรงพยาบาล ตัวเขาต้องไปค้าขายต้นไม้กับพม่า เลยคิดว่าซื้ออาหารไปฝากแล้วกัน ตั้งใจวางแล้วรีบไป พอเห็นมาม้าทำช้อนหล่น น่าจะยังคุมมือไม่ได้ ก็รู้สึกว่าทำไมเราคิดแบบนี้นะ เลยป้อนเสร็จแล้วค่อยกลับ เวลาญาติเฮียถาม มาม้าบอกว่าเราเป็นเพื่อนลูกชาย ก็ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้คาดหวังว่าต้องยอมรับ ไม่ได้ทำเพื่อเอาหน้า แล้วเจอโจทย์ใหญ่อีกครั้ง พี่สาวเฮียเกิดเส้นเลือดในสมองแตกตรงก้านสมองด้วย นอนนิ่งอยู่สามเดือน ในตอนนั้นเราห่วงเขามากกว่าละ”

     “อ้อยจะแวะเข้ามาดูก่อนจัดรายการ มาพูดมาคุยเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าพี่สาวรู้ตัวไหม แต่เขาคอยมาคุยด้วยตลอด รู้ว่าชอบฟังเพลงก็เปิดให้ฟัง ทำตลอดเวลาที่ไปโรงพยาบาล”

     “ความรักแบบพี่ไม่ได้เจอกันแล้วหวาน แต่ผ่านโจทย์มากมาย เรายังใช้คำหนึ่งเสมอ เอาเท่าที่ได้ แค่ไหนแค่นั้น เพราะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อมาม้าไม่ยอมรับ แค่มีโจทย์มาให้แก้เรื่อยๆ เฮียก็ไม่มีเวลาเยอะ หลายครั้งที่นัดกัน เจอปั๊บ อยู่ต่อไม่ได้แล้วนะ เดี๋ยวลูกค้ามาเอาของ ต้องขับกลับแม่สอด พอพี่กลับบ้าน แม่พี่ถาม น้ำตาไหลเลย เราไม่ได้เล่าทั้งหมดให้ที่บ้านฟัง ตอนนั้นพี่อยู่กับพ่อแม่ อาจเป็นความรักของคนยุคก่อน ถ้าทำไม่ผิดต่อสิ่งที่พ่อแม่รู้สึก พ่อแม่จะรักเขา เพราะเป็นแฟนกันแล้วยังทำตามกฎกติกา เข้าตามตรอกออกตามประตู เราก็ประคองกันไปจนวันหนึ่งมาม้าก็ยอมรับ”

     “แม่ถามว่าเมื่อไรจะแต่ง (ยิ้ม)”

 

สิ่งเดียวที่ยื้อไว้

เหมือนเดินไปไม่เห็นปลายทาง แล้วด้วยเหตุอันใดพี่อ้อยจึงยังเลือกยืนตรงนี้อยู่ เราถามอย่างสงสัย เพราะถึงจะเป็นคนคิดบวกยังไง สถานการณ์ก็สาหัสจริงๆ

     “ตัวเฮียไนซ์ค่ะ (ยิ้ม) มีหลายครั้งที่คิดว่าพอละ เหนื่อยไปละ เราเสียเวลาซึ่งกันและกันหรือเปล่า แล้ววันหนึ่งเฮียขับรถลงมา รู้ว่าพี่ใกล้จะกลับบ้าน รถติดมาก เขาจอดรถทิ้งไว้ ขึ้นมอเตอร์ไซค์เพื่อมาหาเราให้ทัน ความรู้สึกผุดขึ้นมา เราใจร้ายนะ ถ้าจะเดินไปจากจุดนี้ พี่ฉอดเคยบอกว่า ‘ถ้าวันหนึ่งจะไม่รักกัน ขอให้เป็นเพราะไม่รักกันแล้ว อย่าเดินออกจากกันเพียงเพราะว่าทุกอย่างรอบตัวไม่สวยงาม’ พี่ฉอดเป็นคนเดียวที่พูดแบบนี้กับพี่ เพราะคนรอบข้างบอกว่า ไม่รอดหรอก ทำไมต้องเป็นคนนี้ มันยากไป เลยเดินหน้าไปเรื่อยๆ ประคองกันไปเท่าที่ได้ แค่ไหนแค่นั้น วันนี้ถึงได้บทเรียนที่เอามาพูดในรายการว่า ถ้ามองข้างหน้าไม่เห็น ก็รักษาตามอาการทีละวัน ที่ผ่านมาเหนื่อยจะตาย ถ้าเฮียนอกใจ พี่ไปได้ง่ายมาก แต่ถ้าเราถอยทั้งที่เขาพยายามสู้อยู่ สู้เต็มที่เท่าที่ทำได้ จะถอยได้งั้นเหรอ”

     “เรียกว่าไม่เห็นอนาคตเลยดีกว่า (หัวเราะ) ตอนนั้นผมทะเลาะกับแม่ทุกวัน บอกว่า ‘แม่ดูนานๆ นะ ดูว่าอ้อยเป็นคนยังไง’ ผมเก็บทุกอย่างกับตัว เพื่อความสบายใจของเขา ปกติผมจะขับรถจากแม่สอดมากรุงเทพฯ เข้าพักคอนโดฯ เช้าต้องไปนครปฐม ไปราชบุรี วิ่งหาต้นไม้ กว่าจะเสร็จห้าโมงกว่า รถติดแถวบางบอน ก็รีบตีกลับเข้าไปหาเขา ได้เจอหน้ากัน ดูหนังกันสักเรื่อง กินข้าวกันมื้อหนึ่ง”

     “ถ้าจะบ่นเหนื่อย ให้หันไปดูเฮียไนซ์ เขาเหนื่อยกว่ามาก เรื่องบ้าน เรื่องแม่ เรื่องต่างๆ ถึงเข้าใจ คนกลางทรมานที่สุด เขาพยายามสู้ทุกอย่าง มาถึงวันนี้ไกลจากจุดเริ่มต้นมาก ใช้เวลา 7 ปี คนที่ขอเราคือมาม้า (ยิ้ม) พูดว่า ‘มีแต่คนถามว่าเมื่อไรลูกชายคนเล็กจะแต่งงานซะที จะให้ม้าตอบเขายังไง’ ในวันนี้ มาม้าเปลี่ยนไปเยอะมาก พอได้เข้ามาถึงเข้าใจว่าทำไมเขามีกติกาในการรับคนที่จะมาเป็นครอบครัวเดียวกัน มาม้าก็เจ็บมาเยอะ จากการที่ลูกๆ เลือกคนของตัวเองแล้วมีปัญหา พี่เลยเข้าใจ”

 

 

หลักสำคัญของรักระยะไกล

สิ่งสำคัญของทั้งสองคือการเห็นคุณค่าในการมีกันและกัน ยิ่งรักทางไกลด้วยแล้ว ยิ่งทำให้วันธรรมดาเป็นวันพิเศษและสำคัญเมื่อได้เจอกันจนถึงทุกวันนี้

     “คุณรักผู้หญิงคนหนึ่งมากพอที่จะอยากตื่นมาแล้วเห็นเขานอนข้างๆ ไหม ถ้าอยากเห็นเขาทุกวัน เราต้องสู้ ต้องทำให้ดีที่สุด อ้อยไม่ใช่ผู้หญิงสวย แต่สวยจากข้างใน (ยิ้ม) ผมอยากได้คนจิตใจดี เข้าใจชีวิต ความไกลทำให้ผู้ชายวอกแวกบ้าง โอ! ผู้หญิงคนนี้น่ารักจังเลย แต่ผมมีเป้าหมาย รู้ว่าเขาคนนี้คือว่าที่ภรรยา บอกอ้อยว่าไม่ต้องห่วงนะ”

     “ถ้ารักกันต้องเชื่อใจกัน แต่ที่สำคัญต้องทำตัวให้น่าเชื่อใจ กับเฮียเมื่อวานรัก วันนี้รัก พรุ่งนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารักแบบนี้เหมือนเดิมไหม พี่ทำ Club Friday มาจนรู้สึกว่าทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงได้ เฮียทำตัวให้น่าเชื่อใจเสมอ ไม่เคยซ่อนโทรศัพท์เลย ไม่เคยเดินไปรับไกลหูไกลตา ก่อนแต่งงานแฟนคลับของเฮียเข้ามาต่อว่ามากมาย บางคนบอกว่าเธอมันผู้หญิงโง่ที่ถูกหลอกใช้ให้ดูแลพี่สาวเขา และอ้างว่าตัวเขาดูแลพี่ไนซ์มาตลอด เพลงที่พี่ไนซ์ชอบสุดคือ “สิ่งสำคัญ” ของเอนโดรฟิน อะไรต่างๆ นานา แค่ประโยคนั้นรู้เลยว่าไม่ใช่เรื่องจริง เพราะไม่รู้จักเฮียจริง” (หัวเราะทั้งคู่)

     “เฮียเป็นคนไว้ใจคนอื่น เลยเล่าเรื่องของพี่ให้คนอื่นฟัง มองว่าเขาเป็นน้อง ไม่รู้เจตนาอีกฝ่ายแท้จริง ที่พยายามยุให้เราแตกกัน เมื่อเริ่มมากขึ้น แฟนคลับสองฝ่ายเริ่มตีกัน เฮียเลยโมโห จะเข้าไปลุย พี่ขอให้อยู่เฉยๆ สิ่งเดียวที่คนมาระรานจะทรมานที่สุดคือการที่คุณนิ่ง ความรักทางไกล ถ้าทำตัวไม่น่าเชื่อใจก็จบ เฮียจะโทร.มาบอกว่า เฮียอยู่กับคนนี้นะ ได้ยินเสียงไหม หรืออยู่สนามบอลนะ มาเตะบอล จำร้านนี้ได้ไหมที่เคยบอกว่ามากิน เขาทำแบบนี้มาตลอดเวลาที่ผ่านมาเกือบยี่สิบปี”

     “แต่ก่อนตอนไปเตะบอล เขาจะไปนั่งหงอยๆ แกว่งขารอ ผมก็ถามว่าเป็นอะไร อ้อยจะทำหน้านิ่งๆ ไม่ตอบ ในใจคิดละ งานงอกแล้ว (หัวเราะ)”

พี่อ้อยเองก็ยอมรับว่าเคยออกอาการงี่เง่าน้อยใจไม่ต่างจากคนอื่นๆ จนวันหนึ่งฉุกคิดได้ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร

    “วันที่ไม่ขึ้นมา เธอก็เลือกทำงานไม่ใช่เหรอ แล้วเขาก็เล่นบอลของเขา แต่พอวันนี้เธอขึ้นมา ทำไมต้องให้เขาวางทุกสิ่งเพื่อเธอล่ะ ยิ่งเป็นรักทางไกล มีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยอยู่แล้ว ทำไมไม่เก็บช่วงเวลาดีๆ ไว้ เรามักจะงี่เง่ากับคนที่เราให้ความสำคัญ แต่เวลาที่งี่เง่าก็ไปเพิ่มความทุกข์ให้เขาเช่นกัน

“ไม่ชอบประโยคหนึ่งที่ว่า อยู่ไกลกันดีนะ ถ้าอยู่ใกล้ก็เลิกกันไปแล้ว คนเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ใกล้สิ แค่คุณเห็นคุณค่าของการมีกันและกันพอหรือเปล่า พี่เห็นหลายครั้งที่ทะเลาะกัน ยังไม่ได้ง้อ ก็ประสบอุบัติเหตุจากไปก่อน เรามีแค่ช่วงเวลาเดียวที่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วแต่ว่าจะหมดอายุรักหรือหมดอายุขัย หมดอายุรักคือไม่รักกันแล้ว ทำไมเธอไม่กอดฉันเหมือนเดิม หรือบางคนอยากกอดกันแทบตาย แต่หมดอายุขัย ก็ไม่มีวันได้เจอกันอีกแล้ว พี่จึงเตือนตัวเองเสมอ”

พี่อ้อยเสริมต่อว่าทุกวันนี้ยังได้ยินเสียงกัน ให้ถือว่าเป็นโอกาสพิเศษที่สุด และใช้เทคนิคนี้กับทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าคนรัก พ่อแม่ เพื่อน อย่างน้อยวันหนึ่ง ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เราก็ยังมีความทรงจำที่ดีเก็บไว้

     “ใน Club Friday มีหลายคนที่วีนเหวี่ยง โยนข้าวของผู้ชายออกจากคอนโดฯ ผู้ชายเอง เพราะรู้ว่าเขายอม จนวันหนึ่งเขาตีจาก น้องดึงอะไรกลับมาไม่ได้แล้ว ไปร้องไห้ต่อหน้าผู้ชาย เขาก็บอกว่ารู้ไหม วันนั้นที่ไล่ผมไป ผมไม่มีที่นอนนะ”

 

‘ขอบคุณ Club Friday ซึ่งเป็นตำราสอนพี่ได้แทบทุกเรื่อง (ยิ้ม)’

     “ผมทำดีที่สุดแล้วกับอ้อย ทำให้เต็มที่ ถ้าอยู่ไกลต้องเชื่อใจเขา เรารู้จักเขามากพอว่า อ้อยไม่วอกแวกแน่นอน หรือวันหนึ่งเกิดความผิดพลาดในรักขึ้น ไม่รักแล้วไม่เป็นไร แค่เสียใจ มันเป็นเหตุจำเป็น ผมคิดเสมอว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรแน่นอน ทำให้ดีที่สุดทุกวันก็เท่านั้นเอง”

ยุคนี้คนเรานอกใจกันง่าย แทบทุกกรณีที่ได้ยินล้วนเกิดจากการนอกใจ และมีเยอะที่คิดว่าไม่น่าเป็นไร พื้นฐานของความรักความสัมพันธ์อยู่ที่ความเชื่อใจกัน ถ้าสิ่งนี้พัง การอยู่กับความระแวงจะทุกข์เพียงใด

 

นอกจากความเชื่อใจ ชีวิตคู่ต้องการอะไรอีก

     “การคุยกันค่ะ และการคุยไม่สำคัญว่าคุณฟังกันหรือเปล่า เราเรียกร้องให้อีกฝ่ายพูดตรงๆ แล้วเราฟังเขาไหม และอย่าคิดว่าต้องคิดเหมือนกันทุกเรื่อง คนที่คิดต่างกับเรา เขาไม่ผิด โอเค เฮียทำธุรกิจมา เราเป็นลูกน้อง ไม่กล้าคิดแบบเฮียคิด แต่อย่างน้อยคิดแบบเฮียก็ดีนะ คิดแบบเราก็ไม่ใช่ไม่ดีนะ

เฮียไนซ์เสริมว่าให้เรียกว่าเปิดรับความคิดกันมากกว่า หลายครั้งที่เขาคิดลงทุน พี่อ้อยกลับเบรกบ่อยครั้ง แทนที่จะโกรธเคือง แต่เขาก็คิดว่าดีแล้วที่มีคนคอยเตือนสติ

    “ผมแยกมาทำงานคนเดียว คิดคนเดียวเกือบยี่สิบปี เป็นนายตัวเอง มั่นใจตัวเอง ก็จะได้แค่คำตอบเดียวมาตลอด พอมีคนช่วยคิดมันดีนะ”

     “เหตุผลของเธอกับเหตุผลของฉันถูกต้องเหมือนกัน แค่ยืนคนละมุม ไม่มีใครผิด มันเป็นการให้เกียรติความคิดอีกฝ่าย ถ้าต่างฝ่ายต่างเอาแต่ชนะกัน มันจะหายนะ เชื่อว่าเรื่องความรักไม่มีสูตรตายตัว เช่นอย่าทะเลาะกันข้ามคืน พี่มองว่าไม่ถูกเสมอไป บางทีทะเลาะกันจนเหนื่อย อีกคนง่วงมาก จะหลับ ให้เดินไปปลุกตามสูตรเพื่อคุยกันต่อ จบเลย บางเรื่องปล่อยไปไม่ต้องอธิบาย ให้เวลาทำหน้าที่ของมันเองบ้าง เวลายังใช้ได้กับทุกความสัมพันธ์จริงๆ แล้วถ้าคุณมาบอกว่าเห็นไหมฉันถูก ก็จะกลายเป็นการเอาชนะกันบนความรักที่เป็นซากปรักหักพัง พี่ว่าไม่คุ้มนะ”

     “ยิ่งคุณไปเขย่าๆ ลากตัว ลุกขึ้นมาคุยกันเดี๋ยวนี้ (หัวเราะ) ผมว่ายิ่งจะเลิกกันเลย เลิกกันวันนั้นแหละ ผมใช้เวลาในการคบหาดูใจ มองกันที่ข้างใน คนเรามีเสน่ห์ไม่เหมือนกัน คุยแล้วจะรู้สึกว่าคนนี้ความคิดเท่นะ หรือคำพูดที่ออกมาจากใจเขา จะรู้ได้ว่าคนนี้เหมาะกับเราไหม คนเรามักทำตัวให้ดูดีก่อน แต่เชื่อเถอะ ในที่สุดก็จะเผยธาตุแท้ ไม่ใช่ไม่ดี แต่อาจไม่ถูกจริตเราก็ได้ ความรักสำคัญนะ แต่อยู่ไปกันนานๆ ความเข้าใจสำคัญกว่า”

 

มีกันและกัน

เฮียไนซ์ยิ้มก่อนจะหันไปหาพี่อ้อยที่นั่งเคียงข้าง พลางพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนจริงจัง

     “ผมต้องขอบคุณที่อยู่กับผมมาทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเจ็บปวดทรมาน มีปัญหาเรื่องครอบครัว เขาก็เป็นคนที่อยู่เคียงข้างผมตลอด ผมโชคดีที่ได้เจออ้อยนะ (ยิ้ม) รู้สึกเสมอว่าคนนี้เป็นผู้หญิงที่ต่อให้ผมไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แม่ผม ลูกหลานผม พี่สาวผม เขาไม่ทิ้ง เขาดูแลทุกคนแน่นอน เพราะงั้นถึงโชคดีที่ได้มีอ้อยอยู่ด้วย คำหวานผมไม่มี ผมหวานทุกวัน (หัวเราะทั้งคู่) รักเขาเสมอ อยากกอดก็กอด อยากหอมก็หอมเลย”

เราตั้งคำถามกับเฮียไนซ์ว่าผู้ชายไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกว่าฉันรักเธอ บางคนก็พูดเยอะจนดูเป็นคนเจ้าชู้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่านั่นคือคำจริงจากใจ

     “ผมจะพูดว่าผมรักอ้อยนะ ก็ต่อเมื่อต้องรู้สึกจากใจจริง ไม่ใช่พร่ำเพรื่อไปเรื่อย เพราะผมรักเขาทุกวันอยู่แล้ว บางอารมณ์ก็จะบอกว่า เฮียรักหนูนะ (ยิ้ม) เราจะรู้สึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา รู้ว่ารักผู้หญิงคนนี้จัง”

     “เวลาพี่นึกย้อนกลับไป ไม่คิดว่าจะร่วมชีวิตได้ถึงวันนี้ วันแรกที่เฮียถามว่าเรามาเป็นแฟนกันไหม ในความรู้สึกแรกคือคนที่เป็นแฟนต้องรักกันก่อน แต่พูดจริงๆ วันนั้นพี่ไม่ได้รู้สึกขนาดนั้น แต่เขาคือคนที่ทำให้เรารักมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ เราไม่ได้เริ่มจากความผูกพัน แต่มีโจทย์มากมายให้ได้รู้ว่าถ้าไม่รักมาก มันคงอยู่จนถึงวันนี้ไม่ได้ มีหลายโจทย์ที่แทบจะทำให้ถอดใจจริงๆ แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรมาก นอกจากทำทุกวันให้ดีที่สุด คิดว่าเฮียยังน่ารักมากพอ ลุยกันสักตั้ง อยู่เป็นขวัญและกำลังใจแก่กันก็ยังดี พอได้มองย้อนกลับไป ถ้าเราสองคนไม่ได้รักกันมาก ก็อยู่มาถึงวันนี้ไม่ได้จริงๆ

     “ขอบคุณเฮียเสมอที่เป็นสามีที่น่ารักตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เป็นแฟน 7 ปี เป็นสามี 12-13 ปี เฮียเป็นคนที่ทำให้พี่เสียใจน้อยมาก พี่กล้าพูดว่าที่แข็งแรงมากพอจนเป็นที่พักพิงหัวใจให้คนอื่นได้ เพราะเฮียเป็นกำลังใจที่แข็งแกร่งให้พี่ได้มีแรงช่วยรับฟังปัญหาของคนอื่น ถ้าเฮียทำให้พี่เสียใจ หรือมีอะไรก็ตามที่เหมือน Club Friday ที่ผ่านมา พี่คงไม่มีแรงไปพูดและให้กำลังใจใครได้ เขาคอยให้กำลังใจพี่มาโดยตลอด และขอบคุณที่ยังยอมรับภรรยาอย่างพี่ที่ไม่สามารถดูแลเขาได้ทุกวัน เฮียจะเห็นดีเจหัวฟูๆ ที่จัดรายการเสร็จ รุ่งเช้าหิ้วกระเป๋าไปที่สนามบินเพื่อเจอกัน เพราะรู้ว่าเขาทำธุรกิจ ลงมายากกว่า เราเป็นลูกน้องเลยมีเวลาหยุดที่ชัดเจน”

     “อ้อยเคยคิดว่าเขาไม่สมบูรณ์ ไม่มีลูก ผมรักเขาที่ตัวเขา ลูกถ้ามีคือส่วนเติมเต็มของชีวิต ไม่มีไม่เป็นไร ไม่ได้ทำให้ความรักน้อยลง บางทีผู้หญิงคิดว่าไม่มีลูกก็ไม่มีโซ่ทองคล้องใจ ทำให้ชีวิตคู่ไม่ยั่งยืน สำหรับผมมันไม่จริง ต่อให้มีลูกหลายคน ถ้าไม่รักก็คือไม่รัก แถมทิ้งได้ด้วย ถ้ารักก็คือรัก ต่อให้ไม่มีลูกก็ยังรักอยู่ดี”

พี่อ้อยเล่าว่าเคยแท้งลูกไปครั้ง ในช่วงเวลาที่เศร้าอย่างยิ่งนั้น ก็มีสามีคนนี้คอยให้กำลังใจ แม้ว่าไม่มีสมาชิกครอบครัวเพิ่ม แต่เราก็ยังไม่มีใครขาดไป ยังมีเราด้วยกัน

    “เฮียจะพูดเสมอว่าต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ ดูแลตัวเองแทนเฮียด้วย ไม่มีคำว่า ‘รัก’ อยู่ในนั้น แต่รู้สึกดีใจที่ได้ยินประโยคนี้ ช่างโชคดีจริงๆ ที่เรามีกันและกัน”

 

Club Friday ปิดท้าย

เราสมมติว่าถ้าเฮียไนซ์โทร.หาดีเจอ้อยใน Club Friday วันนี้ อยากคุยอะไรกับดีเจบ้าง เป็นคำถามที่ทำให้ทั้งสองหัวเราะร่วนก่อนมองหน้ากัน

     “ผมคงไม่มีเรื่องเล่าอะไร แค่ให้กำลังใจเขา โทร.ไปบอกว่าขอบคุณนะ ที่ให้คำแนะนำหรือความคิดเห็นดีๆ แก่คู่ชีวิตหลายๆ คู่ ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น บางครอบครัวที่จะพังแล้ว ก็กลับมาดีขึ้น ที่จริงผมแอบฟังเขานะ เวลาขับรถไปรอ ก็เปิดฟัง บางเรื่องก็ เออ คนนี้มันอะไรวะ (หัวเราะทั้งคู่)”

“เฮียเป็นแขกพิเศษของ Club Friday เล่มแรก เป็นขั้นพื้นฐานเลย (หัวเราะ)”

 

 

เป็นแขกพิเศษที่จะโทร.เข้ามาในรายการ แล้วจะไม่วางสายไปตลอดชีวิต คอยหนุนช่วยให้ดีเจคนนี้ส่งต่อกำลังใจกระจายออกไปสู่ผู้ฟังทุกๆ คน เพื่อให้โลกยังมีความรักที่สวยงามกันอีกครั้ง.

ขอบคุณสถานที่น่ารักอบอุ่น

ร้าน espresso gallery

FB: espgallery